วันนี้ทางเราก็ได้นำเอาเกร็ดความรู้ดีๆ
มาฝากเพื่อนๆ กันครับ ซึ่งสิ่งที่ทางเรานำเอามาฝากเพื่อนๆ นี้นั่นก็คือ
สมุนไพรคู่ครัวไทยนั่นเองค่ะ
และสมุนไพรที่ว่านี้จะมีอะไรบ้างนั้นลองมาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าทางเรานำเอา
อะไรมาฝากเพื่อนๆ กันบ้าง
กระเทียม
กระเทียมเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในครัวเรือน
นอกจากนี้ยังจะกระเทียมยังมีกลิ่นแรงอีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการลดความดัน
และรักษาแผลพุพอง
นอกจากนี้ยังช่วยในการลดอาการจุกเสียดท้องได้เป็นอย่างดีค่ะ
มะกรูด
ซึ่งก็นับว่าเป็นพืชที่ให้กลิ่นหอมมาก
อีกทั้งยังสามารถที่จะนำเอาใบมะกรูดมาประกอบอาหารได้อีกด้วย
นอกจากจะนำเอามาประกอบอาหารแล้วนั้นยังช่วยในการบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ
ได้เป็นอย่างดี
ใบกะเพรา
ซึ่งก็จะเป็นพืชที่ให้กลิ่นหอม
และรสชาติที่เผ็ดอีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการไล่แก๊ส
และลดอาการวิงเวียนศีรษะและแก้อาการอาเจียนได้เป็นอย่างดี
ใบโหระพา
ซึ่งเป็นพืชที่มีสรรพคุณที่ช่วยในการย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีส่วนช่วยระบายและลดอาการปวดท้องอาหารไม่ย่อยได้นั่นเองค่ะ
พริกไทยอ่อน
พริกไทยอ่อนจะให้รสชาติเผ็ดร้อน
และยังมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการไขข้อ
และสามารถที่จะใช้รักษาอาการท้องร่วงได้นั่นเอง
เพียงเท่านี้เพื่อนๆ ก็จะทราบกันแล้วใช่ไหมล่ะคะว่าสมุนไพรไทยที่สามารถใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพได้นั่นเอง
วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556
น้ำมะนาวช่วยขจัดรังแค
รู้หรือไม่ว่า น้ำมะนาว มีประโยชน์ต่อ สุขภาพ หลายอย่าง
และวันนี้เราก็มี บทความ เกร็ดความรู้ เคล็ดลับ สุขภาพ ของ
น้ำมะนาวในการช่วยขจัดรังแค มาฝากค่ะ อยากรู้ว่าน้ำมะนาวจะขจัดรังแคยังไงก็
ไปอ่าน บทความ เกร็ดความรู้ เคล็ดลับ สุขภาพ จากมะนาวกันเลย
มะนาว มีประโยชน์หลายอย่าง แล้วทราบหรือไม่ว่า น้ำมะนาวช่วยดูแลสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะให้นุ่ม สวย แถมไร้รังแคอีกด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าหนัง ศีรษะแห้งถึงจะก่อให้เกิดรังแคได้ แต่จริงๆ แล้วคนผมมันก็เกิดรังแคได้เช่นกัน เพราะหนังศีรษะมัน รังแคจะเกาะติดและก่อให้เกิดอาการคันและระคายเคือง ยิ่งปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้หนังศีรษะอุดตันเป็นสิวได้ด้วย
มะนาวเป็น กรดธรรมชาติช่วยชำระล้างเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน ซึ่งน้ำมันจากมะนาวยังมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียสามารถทำความสะอาดและคืน สมดุลให้กับหนังศีรษะและเส้นผมช่วยลดความมันได้อีกด้วย
ขั้นตอนการทำคือ
นำน้ำมะนาว 8 ช้อนโต๊ะ
ผสมกับน้ำบริสุทธิ์ครึ่งถ้วย
คนน้ำมะนาวและน้ำเข้าด้วยกัน
แล้วนวดลงบนหนังศีรษะและเส้นผมด้วยปลายนิ้วอย่างเบา ๆ
เพื่อช่วยผ่อนคลายและช่วยระบบหมุนเวียนของโลหิต
และระบบประสาท พร้อมหมักทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง
แล้วล้างออก จะช่วยล้างรังแคเหนียว ๆ ที่ติดอยู่บนหนังศีรษะ
และช่วยทำให้เส้นผมนุ่ม สลวยเป็นเงางาม
อย่างนี้แล้วใครที่มีปัญหากับรังแค ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติดูได้นะค๊าบ
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
มะนาว มีประโยชน์หลายอย่าง แล้วทราบหรือไม่ว่า น้ำมะนาวช่วยดูแลสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะให้นุ่ม สวย แถมไร้รังแคอีกด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าหนัง ศีรษะแห้งถึงจะก่อให้เกิดรังแคได้ แต่จริงๆ แล้วคนผมมันก็เกิดรังแคได้เช่นกัน เพราะหนังศีรษะมัน รังแคจะเกาะติดและก่อให้เกิดอาการคันและระคายเคือง ยิ่งปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้หนังศีรษะอุดตันเป็นสิวได้ด้วย
มะนาวเป็น กรดธรรมชาติช่วยชำระล้างเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน ซึ่งน้ำมันจากมะนาวยังมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียสามารถทำความสะอาดและคืน สมดุลให้กับหนังศีรษะและเส้นผมช่วยลดความมันได้อีกด้วย
ขั้นตอนการทำคือ
นำน้ำมะนาว 8 ช้อนโต๊ะ
ผสมกับน้ำบริสุทธิ์ครึ่งถ้วย
คนน้ำมะนาวและน้ำเข้าด้วยกัน
แล้วนวดลงบนหนังศีรษะและเส้นผมด้วยปลายนิ้วอย่างเบา ๆ
เพื่อช่วยผ่อนคลายและช่วยระบบหมุนเวียนของโลหิต
และระบบประสาท พร้อมหมักทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง
แล้วล้างออก จะช่วยล้างรังแคเหนียว ๆ ที่ติดอยู่บนหนังศีรษะ
และช่วยทำให้เส้นผมนุ่ม สลวยเป็นเงางาม
อย่างนี้แล้วใครที่มีปัญหากับรังแค ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติดูได้นะค๊าบ
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556
รักษาสิวด้วยหัวหอม
หัวหอมที่ชอบทานกันนั้น ทราบหรือไม่ว่า สามารถนำมารักษาสิวได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน ...
ในหัวหอมสดประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย (Vilatile Oil) ซึ่งประกอบด้วยไดอัลลิน ไตรซัลไฟต์ (Diallyn Trisulfide) เช่นเดียวกับที่พบในกระเทียม นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ไกลโคไซด์ (Glycosides) เพคติน (Pectin) และกลูโคคินิน (Glucokinin)
ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรีย ลดไขมันเส้นเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ทำให้เจริญหาอาหารและช่วยย่อยอาหาร นอกจากนั้นยังพบอีกว่าในหัวหอมยังมีสารฟอสฟอรัสในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยให้ความจำดีอีกด้วย
ประโยชน์ของหัวหอมนอกจากบำรุงร่างกายแล้วยังรักษาสิวได้อีกด้วย วิธีทำ คือ ทุบหรือฝานหัวหอมแดงให้เป็นแว่นบาง ๆ ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิว ฝ้า หรือ จุดด่างดำ ไม่กี่สัปดาห์ สิว ฝ้า หรือจุดด่างดำ ก็จะหายไป
หากใครที่กำลังมีปัญหาสิวกวนใจ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้นะคะ เพราะเป็นวิธีง่าย ๆ ที่สามารถทำเองได้ แถมยังไม่ต้องเสียเงินมากมายด้วยค๊าบ
ในหัวหอมสดประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย (Vilatile Oil) ซึ่งประกอบด้วยไดอัลลิน ไตรซัลไฟต์ (Diallyn Trisulfide) เช่นเดียวกับที่พบในกระเทียม นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ไกลโคไซด์ (Glycosides) เพคติน (Pectin) และกลูโคคินิน (Glucokinin)
ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรีย ลดไขมันเส้นเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ทำให้เจริญหาอาหารและช่วยย่อยอาหาร นอกจากนั้นยังพบอีกว่าในหัวหอมยังมีสารฟอสฟอรัสในปริมาณสูง ซึ่งจะช่วยให้ความจำดีอีกด้วย
ประโยชน์ของหัวหอมนอกจากบำรุงร่างกายแล้วยังรักษาสิวได้อีกด้วย วิธีทำ คือ ทุบหรือฝานหัวหอมแดงให้เป็นแว่นบาง ๆ ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิว ฝ้า หรือ จุดด่างดำ ไม่กี่สัปดาห์ สิว ฝ้า หรือจุดด่างดำ ก็จะหายไป
หากใครที่กำลังมีปัญหาสิวกวนใจ ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้นะคะ เพราะเป็นวิธีง่าย ๆ ที่สามารถทำเองได้ แถมยังไม่ต้องเสียเงินมากมายด้วยค๊าบ
วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556
น้ำผึ้ง… แก้ท้องเสีย
ข้อมูล
จากประเทศอิตาลี ซึ่งประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องไอศกรีมโฮมเมด กล่าวว่า
การกินไอศกรีมนั้นดีกว่า ไปกินมื้อเที่ยงเป็นไหนๆ เพราะย่อยง่าย
และทำให้สดชื่นพร้อมลุยงานต่อในช่วงบ่าย ดังนั้น ถ้าใครอยากลดความอ้วนละก็
แนะนำให้กินไอศกรีมผลไม้ แทนมื้อเที่ยงสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
ข้อดีอีกอย่าง คือ ไอศกรีมเชอร์เบตดับกระหายได้ดีกว่าน้ำ ในหน้าร้อนเพราะมีน้ำซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ร้อยละ 65-70 แถมมีแคลอรี่น้อยกว่าน้ำอัดลมด้วย
ไอศกรีมนั้นเปรียบได้กับดนตรี เพราะสถาบันจิตวิทยาในลอนดอนกล่าวว่า ไอศกรีมช่วยลดความเครียดได้ประหนึ่งดนตรี ที่ช่วยลดอุณหภูมิและทำให้เคลิบเคลิ้ม
รู้อย่างนี้แล้ว ก็กินไอศกรีมโดยไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไปแล้ว
- See more at: http://eat.edtguide.com/552_%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A-#sthash.eaP7vXjd.dpuf
เกร็ดน่ารู้คู่บ้าน น้ำผึ้ง… แก้ท้องเสียข้อดีอีกอย่าง คือ ไอศกรีมเชอร์เบตดับกระหายได้ดีกว่าน้ำ ในหน้าร้อนเพราะมีน้ำซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ร้อยละ 65-70 แถมมีแคลอรี่น้อยกว่าน้ำอัดลมด้วย
ไอศกรีมนั้นเปรียบได้กับดนตรี เพราะสถาบันจิตวิทยาในลอนดอนกล่าวว่า ไอศกรีมช่วยลดความเครียดได้ประหนึ่งดนตรี ที่ช่วยลดอุณหภูมิและทำให้เคลิบเคลิ้ม
รู้อย่างนี้แล้ว ก็กินไอศกรีมโดยไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไปแล้ว
- See more at: http://eat.edtguide.com/552_%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A-#sthash.eaP7vXjd.dpuf
บอกเพื่อนด้วย Link:
หมวด: ความรู้ทั่วไป, ความรู้รอบตัว, รู้ไว้ใช่ว่า, บทความ, บทความดีๆ, เคล็ดลับ, เรื่องน่ารู้, เกร็ดความรู้, แม่บ้าน
จิบน้ำผึ้งสด ประมาณ 2-3 โต๊ะ สักพักอาการท้องเสียก็จะหาย
การ ที่น้ำผึ้งมีส่วนช่วยในการรักษาโรคท้องเสียนั้น ก็เพราะโรคท้องเสียเกิด จากเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ที่เข้าไปแพร่กระจายในกระเพาะอาหารของมนุษย์ แต่เมื่อกินน้ำผึ้งเข้าไป ความเข้มข้นของน้ำผึ้ง จะไปดึงน้ำออกจากตัวแบคทีเรียและทำให้แบคทีเรียตาย
..เก็บมาฝาก… หากมีบาดแผลเกิดขึ้น ถ้าล้างบาดแผลให้สะอาดแล้วใช้น้ำผึ้งทาที่บาดแผล น้ำผึ้งจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและทำให้แผลไม่เกิดอาการอักเสบ
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556
เค้ก
Cake มีรากศัพท์มาจากภาษาของชาวไวกิ้ง (Old Norse word) ว่า "kaka"
ประวัติ เริ่มจากปี 1843 คุณอัลเฟรดเบิร์ด (Alfred Bird 1811-1878) นักเคมีชาวอังกฤษ ได้ค้นพบ "ผงฟู" หรือ "baking powder" ทำให้เขาสามารถทำขนมปังชนิดที่ไม่มียีสต์ให้กับภรรยาของเขาคือ อลิซาเบธ (Elizabeth) ได้เป็นครั้งแรก เนื่องจากภรรยาของเขานั้น เป็นโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับ ไข่ และ ยีสต์
เค้ก ทำมาจากแป้งสาลี น้ำตาล ไข่ นม เนย ผงฟู และน้ำ สมัยหนึ่งมีประเทศที่ผลิตข้าวสาลีเป็นอาหารหลัก เกิดภาวะ "ข้าวสาลี" ล้นตลาด ต้องการจะระบายข้าวสาลี จึงให้ทุนกับประเทศต่างๆ ให้ส่งคนไปเรียนวิธีการทำเค้ก (วัตถุดิบหลักคือแป้งสาลี) โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
ผลที่ตามมาก็คือ พวกที่ไปเรียนเมื่อกลับมาประเทศของตัว ก็เป็นลูกค้าสั่งตู้อบเค้ก กับสั่งแป้งสาลีเข้ามาเพื่อทำเค้กและประเทศที่ว่านี้ ต่อมาก็ไม่เคย มีปัญหา ข้าวสาลีล้นตลาดอีกเลย
เค้ก เป็นขนมที่มีกระบวนการทำให้สุกโดยการอบ เป็นขนมที่นิยมบริโภคกันทุกกลุ่มชนเค้กมีหลายประเภทและมีคุณสมบัติต่าง ๆ กัน ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของส่วนผสมคือแป้งสาลี ผงฟู เกลือ ไขมัน น้ำตาล ไข่ นม และกลิ่นรส โดยต้องมีองค์ประกอบเป็นตัวเค้กให้มีความสมดุลย์ต่างกันไป แล้วแต่ชนิดของเค้กที่จะทำ
ประโยชน์ของเค้กเค้ก เป็นขนมอบที่มีลักษณะ รูปร่าง ตามความต้องการของผู้ผลิต แต่มีส่วนประกอบของแป้งสาลี น้ำตาล ไข่ นม ไขมัน และสิ่งปรุงแต่งให้เกิดชนิดของเค้ก เช่น ผลไม้ต่าง ๆ ดังนั้นเค้กจึงเป็นขนมที่ให้ประโยชน์กับผู้บริโภค โดยได้รับสารอาหาร คือ แป้ง น้ำตาล ให้สารอาหาร คาร์โบไฮเดรท ซึ่งเป็นสารอาหารที่ทำให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย ไข่ นม ให้สารอาหาร โปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่สร้างเซลล์เนื้อเยื่อให้กับร่างกาย เนย ไขมัน ให้สารอาหารไขมัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการหล่อลื่นและทำให้ผิวพรรณสดชื่น นอกจากนั้นเด็กยังสามารถนำไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันมงคลสมรส วันเกิด ปีใหม่ และสามารถจัดรับประทานเป็นอาหาร น้ำชา กาแฟด้วย
ประวัติ เริ่มจากปี 1843 คุณอัลเฟรดเบิร์ด (Alfred Bird 1811-1878) นักเคมีชาวอังกฤษ ได้ค้นพบ "ผงฟู" หรือ "baking powder" ทำให้เขาสามารถทำขนมปังชนิดที่ไม่มียีสต์ให้กับภรรยาของเขาคือ อลิซาเบธ (Elizabeth) ได้เป็นครั้งแรก เนื่องจากภรรยาของเขานั้น เป็นโรคภูมิแพ้เกี่ยวกับ ไข่ และ ยีสต์
เค้ก ทำมาจากแป้งสาลี น้ำตาล ไข่ นม เนย ผงฟู และน้ำ สมัยหนึ่งมีประเทศที่ผลิตข้าวสาลีเป็นอาหารหลัก เกิดภาวะ "ข้าวสาลี" ล้นตลาด ต้องการจะระบายข้าวสาลี จึงให้ทุนกับประเทศต่างๆ ให้ส่งคนไปเรียนวิธีการทำเค้ก (วัตถุดิบหลักคือแป้งสาลี) โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
ผลที่ตามมาก็คือ พวกที่ไปเรียนเมื่อกลับมาประเทศของตัว ก็เป็นลูกค้าสั่งตู้อบเค้ก กับสั่งแป้งสาลีเข้ามาเพื่อทำเค้กและประเทศที่ว่านี้ ต่อมาก็ไม่เคย มีปัญหา ข้าวสาลีล้นตลาดอีกเลย
เค้ก เป็นขนมที่มีกระบวนการทำให้สุกโดยการอบ เป็นขนมที่นิยมบริโภคกันทุกกลุ่มชนเค้กมีหลายประเภทและมีคุณสมบัติต่าง ๆ กัน ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของส่วนผสมคือแป้งสาลี ผงฟู เกลือ ไขมัน น้ำตาล ไข่ นม และกลิ่นรส โดยต้องมีองค์ประกอบเป็นตัวเค้กให้มีความสมดุลย์ต่างกันไป แล้วแต่ชนิดของเค้กที่จะทำ
ประโยชน์ของเค้กเค้ก เป็นขนมอบที่มีลักษณะ รูปร่าง ตามความต้องการของผู้ผลิต แต่มีส่วนประกอบของแป้งสาลี น้ำตาล ไข่ นม ไขมัน และสิ่งปรุงแต่งให้เกิดชนิดของเค้ก เช่น ผลไม้ต่าง ๆ ดังนั้นเค้กจึงเป็นขนมที่ให้ประโยชน์กับผู้บริโภค โดยได้รับสารอาหาร คือ แป้ง น้ำตาล ให้สารอาหาร คาร์โบไฮเดรท ซึ่งเป็นสารอาหารที่ทำให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย ไข่ นม ให้สารอาหาร โปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่สร้างเซลล์เนื้อเยื่อให้กับร่างกาย เนย ไขมัน ให้สารอาหารไขมัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการหล่อลื่นและทำให้ผิวพรรณสดชื่น นอกจากนั้นเด็กยังสามารถนำไปใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันมงคลสมรส วันเกิด ปีใหม่ และสามารถจัดรับประทานเป็นอาหาร น้ำชา กาแฟด้วย
วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556
เปลือกผักผลไม้มีประโยชน์
ใครที่ชินกับการกินผักผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกให้
เกลี้ยงบ้าง อย่าง แตงกวา มันฝรั่ง มะนาว มะกรูด เป็นต้น ทราบหรือไม่ว่า
เปลือกที่ปอกทิ้งไปนั้นก็มีประโยชน์เหมือนกัน
วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน…
เปลือกแอปเปิ้ล เชือว่ามีผลในการต่อต้านมะเร็ง
ตามที่นักวิจัยพบว่าเปลือกของแอ๊ปเปิ้ลแดงผลหนึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ
เทียบเท่าวิตามินซี 820 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ได้จากน้ำส้มคั้นถึง 2
ควอตช์ เลยทีเดียว
เปลือกมันฝรั่ง อุดมไปด้วยใยอาหาร (fiber) ธาตุเหล็ก
โปแตสเซียม และวิตามินบี มากกว่าที่ได้จากเนื้อมันเสียอีก
เมื่อเทียบปริมาณเท่า ๆ กันแล้ว
ผิวส้ม มะนาว หรือมะกรูด มีสาร ดี-ไลโมนีน
(น้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง) เทอปีน เฮสเพอริดีน
(ยาป้องกันการตกเลือดโดยลดความเปราะของเส้นเลือด) คูมาริน
(สารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย) และแคโรทีนอยด์
(สารสีเหลืองช่วยต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งดีต่อสุขภาพ
รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมาทานผักผลไม้พร้อมทั้งเปลือกดู แต่ก่อนทานก็อย่าลืมล้างให้สะอาดก่อนแล้วกัน
วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556
อาหารออร์แกนิก
สำหรับวันนี้ทางเราก็มีเกร็ดความรู้ดีๆ
ในเรื่องของอาหารออร์แกนิกมาฝากเพื่อนๆ กันครับ
และหลายต่อหลายคนก็อาจจะสงสัยกันว่ามันคืออะไร
ซึ่งอาหารออร์แกนิกก็จะมีประโยชน์ต่อตัวคุณเอง นั่นก็คือ อาหารออร์แกนิก
ซึ่งก็จะดีต่อสุขภาพผิวอีกด้วยนะค่ะ และขอบอกว่าอาหารออร์แกนิก ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อผิวนั้นดีกันอย่างไร และนอกจากนั้นเรามาไขข้อข้องใจว่า อาหารออร์แกนิกนั้นคืออะไร และดีต่อสุขภาพผิวพรรณได้ด้วย
อาหารออร์แกนิก คือ
ซึ่งในสถาบันวิจัย และการพัฒนาจุยส์ บิวตี้ ออร์แกนิก สกินแคร์ ที่มีชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ได้มีการอธิบายว่า ออร์แกนิกก็จะเป็นการเกษตรแบบอินทรีย์ นั่นก็เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาของสารเคมีสะสมในธรรมชาติและนอกจากนั้นเป็น อันตรายต่อชีวิต และยังมีกระบวนการผลิตจึงต้องใส่ใจตั้งแต่การปรับคุณภาพของดิน และน้ำ เป็นต้น และที่สำคัญปัจจัยพื้นฐานสำคัญในขั้นตอนในการผลิตและรวมไปถึงวัตถุดิบรวมถึง การควบคุมในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ที่ป้องกันไม่ให้มีการเจือปนของสารเคมี อย่างเช่น การปลูกพืชตามฤดูกาล หรือจะเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทางการเกษตร และสารพิษทุกชนิด เป็นต้น นอกจากนี้ยังรักษาความสมบูรณ์ของดินโดยไม่ใช้สารเคมีจึงทำให้ร่างกายได้รับ ประโยชน์ตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ สถาบันวิจัย และสถาบันในการพัฒนาจุยส์ บิวตี้ ก็ยังสามารถที่จะพบว่า น้ำผลไม้ออร์แกนิกได้ให้คุณค่าวิตามินและ ยังให้แร่ธาตุได้มากกว่าผลไม้ธรรมดาถึง 50% ซึ่งโดยเฉพาะคุณค่าต่อผิวพรรณ จึงได้มีการนำส่วนผสมของน้ำผลไม้ออร์แกนิ กเข้มข้น 98% เพื่อนำมาผลิตเป็นสกินแคร์บำรุงผิวต่างๆ อย่างเช่น เจลทำความสะอาด เซรั่ม ครีม และโลชั่นบำรุงผิว เป็นต้น
อาหารออร์แกนิก คือ
ซึ่งในสถาบันวิจัย และการพัฒนาจุยส์ บิวตี้ ออร์แกนิก สกินแคร์ ที่มีชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ได้มีการอธิบายว่า ออร์แกนิกก็จะเป็นการเกษตรแบบอินทรีย์ นั่นก็เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาของสารเคมีสะสมในธรรมชาติและนอกจากนั้นเป็น อันตรายต่อชีวิต และยังมีกระบวนการผลิตจึงต้องใส่ใจตั้งแต่การปรับคุณภาพของดิน และน้ำ เป็นต้น และที่สำคัญปัจจัยพื้นฐานสำคัญในขั้นตอนในการผลิตและรวมไปถึงวัตถุดิบรวมถึง การควบคุมในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ที่ป้องกันไม่ให้มีการเจือปนของสารเคมี อย่างเช่น การปลูกพืชตามฤดูกาล หรือจะเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทางการเกษตร และสารพิษทุกชนิด เป็นต้น นอกจากนี้ยังรักษาความสมบูรณ์ของดินโดยไม่ใช้สารเคมีจึงทำให้ร่างกายได้รับ ประโยชน์ตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ สถาบันวิจัย และสถาบันในการพัฒนาจุยส์ บิวตี้ ก็ยังสามารถที่จะพบว่า น้ำผลไม้ออร์แกนิกได้ให้คุณค่าวิตามินและ ยังให้แร่ธาตุได้มากกว่าผลไม้ธรรมดาถึง 50% ซึ่งโดยเฉพาะคุณค่าต่อผิวพรรณ จึงได้มีการนำส่วนผสมของน้ำผลไม้ออร์แกนิ กเข้มข้น 98% เพื่อนำมาผลิตเป็นสกินแคร์บำรุงผิวต่างๆ อย่างเช่น เจลทำความสะอาด เซรั่ม ครีม และโลชั่นบำรุงผิว เป็นต้น
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ประโยชน์ของวิตามินอี
วิตามินอี เป็น
สารอีกหนึ่งชนิดที่มีความสำคัญต่อร่างกาย
ซึ่งวิตามินอีนั้นสามารถหาทานได้จาก เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ทั่วไป
หรือจะกินในรูปแบบของอาหารเสริม และเพื่อนๆรู้กันบ้างหรือเปล่า
ว่าวิตามินอีนั้นมีประโยชน์กับร่างกายของเราในด้านใดบ้าง
วันนี้เราจะมาบอกประโยชน์ของวิตามินอีให้เพื่อนๆได้รู้จัก
แต่ไม่เพียงประโยชน์เท่านั้น เราจะมาบอกถึงข้อควรระวังในการวิตามินอีด้วย
ว่าควรระวังในการกินวิตามินดีอย่างไรให้ปลอดภัย …..
ประโยชน์ของวิตามินอี
-ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น จึงทำให้ไม่ค่อยเหลือเก็บสะสมมาก
-วิตามินอีมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเซลล์ประสาท
-ช่วยในการสร้างเลือด ขยายเส้นเลือด ทำให้เลือดเดินได้ดี ทั้งยังลดการจับตัวเป็นลิ่มเลือดด้วย จึงช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและที่หัวใจ
-เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก จึงช่วยให้การต่อต้านริ้วรอยแห่งความชราได้ดี
-ช่วยในการบำรุงการทำงานของตับ
-วิตามินอีจะช่วยในการทำงานของระบบสืบพันธุ์ และยังป้องกันการเป็นหมันได้
-ช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น ทำให้หายใจได้สะดวก
ข้อควรระวังในการกินวิตามินอี
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับวิตามินอี คือ วิตามินอีไม่สามารถละลายในน้ำได้ แต่จะละลายในไขมัน ร่างกายจึงไม่สามารถขับวิตามินอีออกจากร่างกายได้ทางปัสสาวะเหมือนกับ วิตามินอื่นๆ โดยร่างกายจะขับวิตามินอีส่วนเกินบางส่วนออกมาทางอุจจาระ ดังนั้นหากรับประทานวิตามินอีมากเกินไปจะสะสมในร่างกาย จะเกิดผลเสียคือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไปจนถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอีมากเกินกว่า 1,500 IU ต่อวันค๊าบ
ประโยชน์ของวิตามินอี
-ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น จึงทำให้ไม่ค่อยเหลือเก็บสะสมมาก
-วิตามินอีมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเซลล์ประสาท
-ช่วยในการสร้างเลือด ขยายเส้นเลือด ทำให้เลือดเดินได้ดี ทั้งยังลดการจับตัวเป็นลิ่มเลือดด้วย จึงช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและที่หัวใจ
-เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมาก จึงช่วยให้การต่อต้านริ้วรอยแห่งความชราได้ดี
-ช่วยในการบำรุงการทำงานของตับ
-วิตามินอีจะช่วยในการทำงานของระบบสืบพันธุ์ และยังป้องกันการเป็นหมันได้
-ช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น ทำให้หายใจได้สะดวก
ข้อควรระวังในการกินวิตามินอี
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับวิตามินอี คือ วิตามินอีไม่สามารถละลายในน้ำได้ แต่จะละลายในไขมัน ร่างกายจึงไม่สามารถขับวิตามินอีออกจากร่างกายได้ทางปัสสาวะเหมือนกับ วิตามินอื่นๆ โดยร่างกายจะขับวิตามินอีส่วนเกินบางส่วนออกมาทางอุจจาระ ดังนั้นหากรับประทานวิตามินอีมากเกินไปจะสะสมในร่างกาย จะเกิดผลเสียคือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ไปจนถึงกล้ามเนื้ออ่อนแรง จึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามินอีมากเกินกว่า 1,500 IU ต่อวันค๊าบ
วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ชาใบหม่อน
ในปัจจุบันนี้ ชา ก็นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่
ได้รับความนิยมกันเป็นอย่างมากชนิดหนึ่ง
และก็จัดว่าเป็นเครื่องดื่มสารพัดประโยชน์
นั่นก็คือผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากใบชานั่นเอง
และที่มีกันมาอย่างแพร่หลายมากในปัจจุบันนั่นก็จะเห็นได้ว่าต้องเป็น ชาเขียว
แต่ก็ยังมีเครื่องดื่มประเภทชาที่สามารถสกัดมาจากพืชชนิดอื่นอีกหลายชนิดเลย
ทีเดียว อย่างเช่น ชาใบหม่อน
นั่นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์และช่วยในการบำรุงสุขภาพทั้ง
สิ้น และในที่นี้ทางเราจึงมีเกร็ดความรู้ดีดีมาฝาก
เกี่ยวกับเครื่องดื่มประเภทชาชนิด ชาใบหม่อนนี้ มาให้ทราบกันพอสังเขป และมาดูกันเลยค่ะว่าชาใบหม่อนที่เราเคยได้ยินกันจะมีประโยชน์และดีต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง…
ชาใบหม่อน
ว่าด้วยเรื่องของชา นั่นก็คือสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเห็นได้ว่านั่นก็คือ ชาใบหม่อน และชาใบหม่อนที่เรานิยมนำมาใช้ในการชงรับประทาน โดยการนำเอาใบหม่อนที่อบแห้งแล้วมาใส่ลงในแก้ว และจากนั้นก็เทน้ำร้อนเติมใส่ลงไป ภายในเวลาแปบเดียวหรือรอสักครู่สารที่อุดมไปด้วยประโยชน์ที่ได้และมี ประโยชน์จากใบหม่อนก็จะละลายออกมา จากนั้นก็รอสักครู่จึงกรองเอาแต่น้ำนำมาและสามารถดื่มได้เลย ในเรื่องของ ชาใบหม่อนที่มีสีเขียวปนสีเหลือง จะมีรสฝาดเล็กน้อย และมีสรรพคุณช่วยในการแก้ไข้หรือลดไข้นั้น นอกจากนั้นยังทำให้สดชื่นได้อีกเช่นเดียวกันค๊าบ
ชาใบหม่อน
ว่าด้วยเรื่องของชา นั่นก็คือสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเห็นได้ว่านั่นก็คือ ชาใบหม่อน และชาใบหม่อนที่เรานิยมนำมาใช้ในการชงรับประทาน โดยการนำเอาใบหม่อนที่อบแห้งแล้วมาใส่ลงในแก้ว และจากนั้นก็เทน้ำร้อนเติมใส่ลงไป ภายในเวลาแปบเดียวหรือรอสักครู่สารที่อุดมไปด้วยประโยชน์ที่ได้และมี ประโยชน์จากใบหม่อนก็จะละลายออกมา จากนั้นก็รอสักครู่จึงกรองเอาแต่น้ำนำมาและสามารถดื่มได้เลย ในเรื่องของ ชาใบหม่อนที่มีสีเขียวปนสีเหลือง จะมีรสฝาดเล็กน้อย และมีสรรพคุณช่วยในการแก้ไข้หรือลดไข้นั้น นอกจากนั้นยังทำให้สดชื่นได้อีกเช่นเดียวกันค๊าบ
วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556
8 วิธี ที่ทำให้ดื่มน้ำง่ายขึ้น
1. ดื่มน้ำให้เหมือนเป็นกิจวัตร พยายามดื่มน้ำทุกเช้า
หลังตื่นนอนให้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวัน
เพราะการดื่มน้ำตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกอยากดื่มน้ำมากไปตลอดทั้ง
วัน ทั้งยังช่วยเรื่องการขับถ่ายอีกด้วย
2. บีบน้ำมะนาวใส่นิด ๆ หากคุณรู้สึกแปลก ๆ กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำ
3. ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่น ตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมือนเป็นดัชนีวัดว่า ร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ
4. ถ้าร้อนนัก ก็ดื่มซะ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้วไว้ที่มือ อาจช่วยให้คุณลดอารมณ์เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณ ในรูปของปัสสาวะ
5. ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บาง ครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอก ๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง
6. เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่าย ๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้ จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวัน ตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น
7. ถูก และ ถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรี แบบไม่อั้น
8. หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบมาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆ ขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อน ๆ หรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดีนะค๊าบ
2. บีบน้ำมะนาวใส่นิด ๆ หากคุณรู้สึกแปลก ๆ กับรสชาติที่จืดชืดของน้ำเปล่า ขอแนะนำให้คุณหามะนาวมาบีบลงไปในน้ำเปล่าซักเล็กน้อยก่อนดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้กับน้ำ
3. ทำให้มันใสอยู่เสมอ หมั่น ตรวจดูปัสสาวะของคุณหลังเสร็จธุระ เพื่อให้มั่นใจว่ามันยังใสอยู่เสมอ เพราะความใสนั้นเหมือนเป็นดัชนีวัดว่า ร่างกายของคุณได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่เมื่อไรก็ตามที่ปัสสาวะของคุณมีสีเหลืองเข้ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณกำลังอยู่ในภาวะขาดน้ำ
4. ถ้าร้อนนัก ก็ดื่มซะ เมื่อคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ที่เดือดดาล ขอแนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะบางครั้งการเลือกเครื่องดื่มก็เป็นเรื่องของจิตวิทยา การที่คุณได้ถือเครื่องดื่มอุ่น ๆ สักแก้วไว้ที่มือ อาจช่วยให้คุณลดอารมณ์เดือดดาลลงได้มากกว่าเครื่องดื่มปกติ ยิ่งกว่านั้น ในกาแฟและน้ำชายังมีสารคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเพิ่มอัตราการกำจัดน้ำออกจากร่างกายของคุณ ในรูปของปัสสาวะ
5. ดื่มน้ำเมื่อคุณถูกความตะกละจู่โจม บาง ครั้งความรู้สึกหิวของคนเราก็เป็นความกระหายแบบหลอก ๆ หรือแค่รู้สึกตะกละเท่านั้น ดังนั้นคุณสามารถแก้อาการนี้ได้ด้วยการหาน้ำดื่มซัก 1- 2 แก้ว เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้กินอะไรรองท้อง
6. เริ่มปฏิบัติจากขั้นตอนง่าย ๆ อย่าคาดหวังว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำได้ จากหน้ามือเป็นหลังมือ คือจากคนที่ไม่ดื่มน้ำเลยมาดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว แต่คุณควรเริ่มจากการดื่มน้ำ 1 แก้วในตอนเช้าของวัน ตามด้วยการดื่มน้ำอีก 1 แก้วก่อนนอนจนเป็นนิสัย จากนั้นค่อยๆเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำระหว่างวันให้มากขึ้น
7. ถูก และ ถูก อย่าลืมว่า น้ำดื่มตามภัตตาคารนั้นมีให้บริการฟรี แบบไม่อั้น
8. หมั่นหาแก้วน้ำที่มีน้ำเต็มแก้ว 1 ใบมาวางไว้ข้างตัวคุณเสมอ ขณะคุณกำลังทำงาน เพราะมันจะทำให้คุณสะดวกต่อการหยิบขึ้นมาจิบไปเรื่อยๆ ขณะทำงานโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่คุณต้องสุมหัวคิดงานกับเพื่อน ๆ หรือเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้ปัญหาหากคุณไม่ต้องการให้มือของคุณอยู่ว่าง อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดีนะค๊าบ
วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556
น้ำตาลในผัก
จริงอยู่ที่ว่าผักดีต่อ
สุขภาพ คุณวิเศษของผักมีมากมาย แต่สำหรับคนที่เป็น โรคเบาหวาน
หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ อาจไม่เหมาะกับผักบางชนิด
เกร็ดความรู้ สาระน่ารู้ ความรู้รอบตัว วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ
ในการเลือกกินผักมาฝากกันค่ะ
ผักที่มีน้ำตาล 3-5 เปอร์เซ็นต์
มะเขือ น้ำเต้า ใบตังโอ๋ ผักกาดขาว ผักกระเฉด
แตงกวา บวบ ผักโขม ผักบุ้ง หน่อไม้ หัวผักกาดขาว ฟักเขียว ผักกาดหอม
ผักบุ้งจีน ยอดฟักทอง เห็ดบัว แตงร้าน ผักตำลึง ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย มะระ
ถั่วงอก ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า กุยช่าย สายบัว ชะอม ดอกหอม กะหล่ำปลี
ผักที่มีน้ำตาล 5-10 เปอร์เซ็นต์
ฝักถั่วลันเตา ใบชะพลู ต้นหอม ดอกกะหล่ำ
ถั่วแขก ผักโขม หอมใหญ่ ใบทองหลาง ดอกโสน ถั่วพู มะรุม ดอกแค ขิง หน่อไม้
ข้าวโพดอ่อน หัวปลี กระเจี๊ยบ มะละกอดิบ ใบกระถิน ยอดและฝักอ่อนกระถิน
ผักที่มีน้ำตาล 15-20 เปอร์เซ็นต์
ดอกขี้เหล็ก เมล็ดถั่วลันเตา ใบมะขามอ่อน ใบย่านาง ผักหวาน ลูกเนียง มันฝรั่ง
ผักที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์
กระจับ กลอย เผือก มันเทศ ใบขี้เหล็ก แห้วจีน
อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอฟันธงกันชัดๆ เลยค่ะว่า ผักในกลุ่มที่มีน้ำตาล 20-30เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน ลองเช็คดูนะคะควรลดผักอะไรที่เป็นของชอบบ้าง
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556
อาหารช่วยแก้ง่วง
ยามบ่ายหลังจากกินข้าวอิ่ม ง่วงนอนทำยังไงดี ของีบซัก 5 นาที ก็กลัวเจ้านายบ่น มาหาของกินแก้ง่วงติดไว้ที่โต๊ะทำงานกันดีกว่าค่ะ
1. ผักผลไม้อุดมวิตามินซี ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม บร็อคโคลี ช่วยต้านความเหนื่อยล้าที่มาจากความเครียดและกังวล
2. ผลไม้ที่มีโครเมียม ได้แก่ แอปเปิล กล้วย มันฝรั่ง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย
3. เมล็ดพืชมากคุณค่า ได้แก่ งา ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) และจมูกข้าวสาลี ซึ่งมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ช่วยบำรุงประสาทและช่วยให้จิตใจแจ่มใส สดชื่น
4. ไขมันดีๆ จากปลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เสริมโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้แก่ร่างกาย และยังช่วยทำให้สมาธิและความจดจำดีขึ้น
1. ผักผลไม้อุดมวิตามินซี ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม บร็อคโคลี ช่วยต้านความเหนื่อยล้าที่มาจากความเครียดและกังวล
2. ผลไม้ที่มีโครเมียม ได้แก่ แอปเปิล กล้วย มันฝรั่ง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย
3. เมล็ดพืชมากคุณค่า ได้แก่ งา ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) และจมูกข้าวสาลี ซึ่งมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ช่วยบำรุงประสาทและช่วยให้จิตใจแจ่มใส สดชื่น
4. ไขมันดีๆ จากปลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เสริมโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้แก่ร่างกาย และยังช่วยทำให้สมาธิและความจดจำดีขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ประโยชน์ของเปลือกไข่
ในวันนี้จะมาให้เกร็ดความรู้ในเรื่องของ
สุขภาพ ความรู้รอบตัว นำเสนอถึงเรื่อง เปลือกไข่ กินได้ อะๆ
รู้กันรึเปล่าว่า เปลือกไข่ กินได้นะคะ ใครที่ชอบทาน ไข่ ทราบหรือไม่ว่า
เปลือกไข่ ก็มีประโยชน์เหมือนกัน วันนี้เราจึงหยิบ เกร็ดความรู้ เคล็ดลับ
เทคนิค ความรู้รอบตัว วิธีการกิน เปลือกไข่ มาฝากกัน
ใครที่ชอบทานไข่ ทราบหรือไม่ว่า เปลือกไข่ก็มีประโยชน์เหมือนกัน วันนี้เกร็ดความรู้มีมาฝากกัน…
- เปลือกไข่อุดมด้วยธาตุเหล็ก นำเปลือกไข่มาล้างให้สะอาด อบย่างให้ร้อนแล้วตำให้เป็นผงละเอียดนำไปหุงปนกับข้าวสาร เป็นอาหารที่มีคุณค่าบำรุงดีมาก และสารอาหารที่จะได้รับจากเปลือกไข่ ก็คือ
แคลเซี่ยม
- เปลือกไข่ก็ยังมีประโยชน์ใช้สอยในด้านของการเป็นเครื่องมือทำความสะอาด สามารถนำไปใช้ขัดล้างอ่างล้างหน้าอ่างอาบน้ำและเครื่องใช้เซรามิคทั้งหลาย
- สามารถใช้เป็นแปรงล้างขวดหรือภาชนะที่มีปากแคบ
- ใช้เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ได้
ลองนำไปปฏิบัติตามกันได้นะ
ใครที่ชอบทานไข่ ทราบหรือไม่ว่า เปลือกไข่ก็มีประโยชน์เหมือนกัน วันนี้เกร็ดความรู้มีมาฝากกัน…
- เปลือกไข่อุดมด้วยธาตุเหล็ก นำเปลือกไข่มาล้างให้สะอาด อบย่างให้ร้อนแล้วตำให้เป็นผงละเอียดนำไปหุงปนกับข้าวสาร เป็นอาหารที่มีคุณค่าบำรุงดีมาก และสารอาหารที่จะได้รับจากเปลือกไข่ ก็คือ
แคลเซี่ยม
- เปลือกไข่ก็ยังมีประโยชน์ใช้สอยในด้านของการเป็นเครื่องมือทำความสะอาด สามารถนำไปใช้ขัดล้างอ่างล้างหน้าอ่างอาบน้ำและเครื่องใช้เซรามิคทั้งหลาย
- สามารถใช้เป็นแปรงล้างขวดหรือภาชนะที่มีปากแคบ
- ใช้เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ได้
ลองนำไปปฏิบัติตามกันได้นะ
วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556
กะเพราศักสิทธิ์"พืชค้นพบใหม่"
สู่งานวิจัย...สมุนไพรให้ประโยชน์
ประเทศไทยเรายังมี สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายที่น่าค้นหาอยู่มากมาย ถึงแม้จะเป็น สิ่งที่เหมือน ๆ กัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างให้เห็น เช่น ชื่อเหมือนกันแต่คนละสายพันธุ์ ล่าสุดชุดคณะสำรวจพันธุ์ไม้ไทยได้ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการสำรวจค้นพบ กะเพราสายพันธุ์ใหม่ของโลก ที่ยังไม่เคยพบที่ใดมาก่อน ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แสดงให้เห็นว่าบนผืนแผ่นดินไทยยังคงมีความอุดมสมบูรณ์
สมราน สุดดี ผู้เชี่ยวชาญไม้วงศ์กะเพราของไทย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เล่าย้อนถึงความยากลำบากในการสำรวจหา พืชชนิดใหม่นี้ว่า เริ่มทำการสำรวจและเก็บตัวอย่างครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดหนองคาย
โดยจากการสำรวจทางพฤกษศาสตร์ของเจ้าหน้าที่หอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งต้องมีการสำรวจและเก็บตัวอย่างพรรณไม้ทั่วประเทศเพื่อนำมาศึกษาวิจัยจัด ทำหนังสือพรรณพฤกษชาติประเทศไทย (Flora of Thailand) เพื่อให้ทราบว่าประเทศไทยมีทรัพยากรด้านพืชจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ก็เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ ทรัพยากรพันธุ์พืชของประเทศ จึงได้ พบกะเพราชนิดใหม่ของโลกนี้ขึ้นอยู่ บนดินตื้น ๆ บนภูเขาหินทรายตามป่าเต็งรัง ลำต้นเป็นเหลี่ยม สูงประมาณ 50-60 ซม. กิ่งมีขนสั้น นุ่ม ใบเดี่ยวเรียงตรงสลับตั้งฉาก ยาว 0.4-1 ซม. แผ่นใบมีขนสากด้านบน ก้านใบยาวประมาณ 0.5-2 ซม.
เหตุที่เป็นการพบครั้งแรกของโลก เพราะพืชชนิดนี้ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน ซึ่งตนคุ้นเคยกับพืชกลุ่มนี้ ดี เพราะศึกษาพืชกลุ่มนี้มาก่อนสมัยทำการศึกษาระดับปริญญาเอกอยู่ที่สวนพฤกษ ศาสตร์คิว กรุงลอนดอน จึงได้เห็นตัวอย่างพืชกลุ่มนี้มาทั่วโลก ตอนเดินสำรวจและเก็บตัวอย่างค่อนข้างแน่ใจเลยว่าเป็นพืชชนิดใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่จะนำไปตีพิมพ์เป็นพืชชนิดใหม่จะต้องสำรวจตรวจสอบ ให้ละเอียดเสียก่อน เพราะอาจจะมีคนค้นพบในเวลาใกล้เคียงกันและตีพิมพ์ไปแล้ว
สรุปแล้วเราใช้เวลาในการสำรวจตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ พร้อมทั้งเดินทางไป ดูตัวอย่างเพิ่มเติมในพิพิธภัณฑ์พืชต่างประเทศใช้เวลาประมาณ 2 ปี กว่า รวมแล้วก็ 3 ปีได้ จึงมั่นใจเต็มที่ว่า กะเพราที่ค้นพบนี้เป็นพืชชนิดใหม่ของโลกและยังไม่เคยมีใครตีพิมพ์มาก่อน สำหรับ พืชชนิดใหม่ของโลกนี้ได้มีการเตรียมเขียนตีพิมพ์ในปี 2553 นี้ โดยใช้ชื่อพรรณไม้ว่า Platostoma tridechii Suddee ซึ่งจะตีพิมพ์ในวารสาร Thai Forest Bulletin (Botany) เล่มที่ 38 ซึ่งเป็นวารสารนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
จากการศึกษาพบว่าลักษณะของกะเพราศักดิ์สิทธิ์เป็นไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี ประมาณ 2-3 ปี ชอบขึ้นในป่าเต็งรังบนสันภูของเขาหิน ทราย พื้นที่ค่อนข้างเปิดโล่ง ความสูงจากระดับน้ำทะเล ไม่เกิน 300 เมตร ออกดอกและติดผลเดือนตุลาคม-ธันวาคม โดยในปีแรกที่ขึ้นมาจะพัฒนามีเหง้าอยู่ใต้ดิน เมื่อออกดอกผลเสร็จ ลำต้นก็เหี่ยวแห้งไปในหน้าแล้ง เมื่อเข้าหน้าฝนใหม่ต้นก็จะงอก มาใหม่จากเหง้าเดิม การขึ้นมักขึ้นเป็นกลุ่มดูเป็นพุ่มเตี้ย ลำต้นและกิ่งก้านค่อนข้าง เป็นสี่เหลี่ยม ใบสดเมื่อขยี้ จะมีกลิ่นหอมเล็กน้อย แตกต่างจากกะเพราบ้านที่ว่า กะเพราบ้านมีใบใหญ่กว่ามาก ใบมีกลิ่นหอมแรงกว่า รายละเอียดต่าง ๆ ด้านพฤกษศาสตร์ในเรื่องลักษณะของ ดอกและผลก็แตกต่างกัน มาก เพราะกะเพราบ้านจัดอยู่ในสกุล Ocimum แต่ กะเพราศักดิ์สิทธิ์จัดอยู่ในสกุล Platoatoma ทั้งสองสกุลจัดอยู่ในวงศ์กะเพรา (Labiatae) เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามกะเพราศักดิ์สิทธิ์ที่เราค้นพบนี้จัดเป็นพืชใกล้สูญพันธุ์อย่าง ยิ่ง (Critically Endangered) ตามหลักเกณฑ์ของ IUCN Red List ซึ่งจะมีหลักเกณฑ์ชัดเจนในการที่จะบอกว่าพืชชนิดนั้น ๆ ที่เราศึกษาจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มใด เป็นหลักเกณฑ์ที่ทุกประเทศทั่วโลกปฏิบัติตาม โดยกะเพราศักดิ์สิทธิ์ที่พบขึ้นอยู่บริเวณดินตื้นบนลานหินทรายที่ หน้าแล้งแห้งมาก ประชากรพบเพียงกลุ่มเดียวจากการสำรวจหลาย ๆ ครั้ง
สำหรับประวัติของกะเพราในเมืองไทยจัดอยู่ในวงศ์ Labiatae ลักษณะเด่น ที่สังเกตได้ง่ายคือลำต้นส่วนใหญ่เป็นสี่เหลี่ยม ใบเรียง ตรงข้ามสลับตั้งฉาก ไม่มียาง กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดและมักสมมาตรด้านข้าง ประเทศไทยมีการสำรวจและเก็บตัวอย่างเพื่อการศึกษาตั้งแต่สมัยรัชการที่ 5 โดยมีหมอคาร์ นายแพทย์ชาวไอริช เป็นผู้สำรวจ
พืชวงศ์กะเพราในประเทศไทยเป็นพืชวงศ์ใหญ่ มีประมาณ 50 สกุล และประมาณ 250 ชนิด พบได้ทั่วประเทศตามลักษณะสภาพพื้นที่ที่แตกต่างกันไป ไม้สัก (Tectona grandis L.f.) ก็จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา แต่ละสกุลมีลักษณะเด่นแตกต่าง กันไป กะเพราที่เรารับประทานทั่วไปมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Ocimum tenuiflorum L. มี 2 พันธุ์ คือ ใบสีเขียว กับใบสีแดง รูปร่างและรสเหมือนกันแต่ต่างกันที่สี ส่วนสกุล Platostoma ที่กะเพราศักดิ์สิทธิ์ถูกจัดอยู่ ในประเทศไทยมี 22 ชนิด ทั้งนี้จาก การที่พืชวงศ์กะเพราเป็น พืชวงศ์ใหญ่ จึงนิยมรับประทานเฉพาะบางสกุลเท่านั้น สรรพคุณทางสมุนไพร ก็แตกต่างกันไป หลายสกุลมีสรรพคุณคล้ายกัน หลายสกุล ต่างกัน
กะเพราบ้านเราที่นิยมนำมาปรุงอาหารเพื่อรับ ประทานเพื่อความหอมนั้นอยู่ต่างสกุลกับกะเพราศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณคือ รากใช้ต้มน้ำกินเป็นยาขับเหงื่อในคนไข้มาลาเรีย ใบแห้งบดเป็นยานัตถุ์แก้คัดจมูก ใบสดกินเป็นยาขับเหงื่อ ขับระดู ขับเสมหะ หยอดหูแก้ปวด เป็นยาระบาย น้ำต้มใบใช้บำรุงธาตุสำหรับเด็กและแก้ตับอักเสบ ดอกกินกับน้ำผึ้งแก้หลอดลมอักเสบ เมล็ดกินแก้โรคทางเดินปัสสาวะ ส่วนสรรพคุณของกะเพราศักดิ์ สิทธิ์ขณะนี้ยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม ส่วนใหญ่แล้วพืชกลุ่มนี้มีสรรพคุณด้านสมุนไพรก็น่าจะมีสรรพ คุณทางสมุนไพรไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
พืชพรรณนานาชนิดในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น พันธุ์เก่าหรือพันธุ์ใหม่ ถือเป็นสมบัติที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อประเทศทั้งสิ้น หากสำรวจค้นพบแล้วไม่มีการอนุรักษ์หรือวิจัยอย่าง ต่อเนื่องก็เท่ากับว่าเราสูญเสีย ทรัพยากรดี ๆ ของประเทศไปโดยปริยาย ดังนั้นเราจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันดูแลรักษาไว้ให้ลูกหลานได้ใช้ประโยชน์ต่อ ไปในภายภาคหน้าก่อนที่กะเพราศักดิ์สิทธิ์ นี้จะสูญพันธุ์ไป.
ประเทศไทยเรายังมี สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายที่น่าค้นหาอยู่มากมาย ถึงแม้จะเป็น สิ่งที่เหมือน ๆ กัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างให้เห็น เช่น ชื่อเหมือนกันแต่คนละสายพันธุ์ ล่าสุดชุดคณะสำรวจพันธุ์ไม้ไทยได้ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการสำรวจค้นพบ กะเพราสายพันธุ์ใหม่ของโลก ที่ยังไม่เคยพบที่ใดมาก่อน ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แสดงให้เห็นว่าบนผืนแผ่นดินไทยยังคงมีความอุดมสมบูรณ์
สมราน สุดดี ผู้เชี่ยวชาญไม้วงศ์กะเพราของไทย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เล่าย้อนถึงความยากลำบากในการสำรวจหา พืชชนิดใหม่นี้ว่า เริ่มทำการสำรวจและเก็บตัวอย่างครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดหนองคาย
โดยจากการสำรวจทางพฤกษศาสตร์ของเจ้าหน้าที่หอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งต้องมีการสำรวจและเก็บตัวอย่างพรรณไม้ทั่วประเทศเพื่อนำมาศึกษาวิจัยจัด ทำหนังสือพรรณพฤกษชาติประเทศไทย (Flora of Thailand) เพื่อให้ทราบว่าประเทศไทยมีทรัพยากรด้านพืชจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ก็เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์ ทรัพยากรพันธุ์พืชของประเทศ จึงได้ พบกะเพราชนิดใหม่ของโลกนี้ขึ้นอยู่ บนดินตื้น ๆ บนภูเขาหินทรายตามป่าเต็งรัง ลำต้นเป็นเหลี่ยม สูงประมาณ 50-60 ซม. กิ่งมีขนสั้น นุ่ม ใบเดี่ยวเรียงตรงสลับตั้งฉาก ยาว 0.4-1 ซม. แผ่นใบมีขนสากด้านบน ก้านใบยาวประมาณ 0.5-2 ซม.
เหตุที่เป็นการพบครั้งแรกของโลก เพราะพืชชนิดนี้ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน ซึ่งตนคุ้นเคยกับพืชกลุ่มนี้ ดี เพราะศึกษาพืชกลุ่มนี้มาก่อนสมัยทำการศึกษาระดับปริญญาเอกอยู่ที่สวนพฤกษ ศาสตร์คิว กรุงลอนดอน จึงได้เห็นตัวอย่างพืชกลุ่มนี้มาทั่วโลก ตอนเดินสำรวจและเก็บตัวอย่างค่อนข้างแน่ใจเลยว่าเป็นพืชชนิดใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่จะนำไปตีพิมพ์เป็นพืชชนิดใหม่จะต้องสำรวจตรวจสอบ ให้ละเอียดเสียก่อน เพราะอาจจะมีคนค้นพบในเวลาใกล้เคียงกันและตีพิมพ์ไปแล้ว
สรุปแล้วเราใช้เวลาในการสำรวจตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ พร้อมทั้งเดินทางไป ดูตัวอย่างเพิ่มเติมในพิพิธภัณฑ์พืชต่างประเทศใช้เวลาประมาณ 2 ปี กว่า รวมแล้วก็ 3 ปีได้ จึงมั่นใจเต็มที่ว่า กะเพราที่ค้นพบนี้เป็นพืชชนิดใหม่ของโลกและยังไม่เคยมีใครตีพิมพ์มาก่อน สำหรับ พืชชนิดใหม่ของโลกนี้ได้มีการเตรียมเขียนตีพิมพ์ในปี 2553 นี้ โดยใช้ชื่อพรรณไม้ว่า Platostoma tridechii Suddee ซึ่งจะตีพิมพ์ในวารสาร Thai Forest Bulletin (Botany) เล่มที่ 38 ซึ่งเป็นวารสารนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
จากการศึกษาพบว่าลักษณะของกะเพราศักดิ์สิทธิ์เป็นไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี ประมาณ 2-3 ปี ชอบขึ้นในป่าเต็งรังบนสันภูของเขาหิน ทราย พื้นที่ค่อนข้างเปิดโล่ง ความสูงจากระดับน้ำทะเล ไม่เกิน 300 เมตร ออกดอกและติดผลเดือนตุลาคม-ธันวาคม โดยในปีแรกที่ขึ้นมาจะพัฒนามีเหง้าอยู่ใต้ดิน เมื่อออกดอกผลเสร็จ ลำต้นก็เหี่ยวแห้งไปในหน้าแล้ง เมื่อเข้าหน้าฝนใหม่ต้นก็จะงอก มาใหม่จากเหง้าเดิม การขึ้นมักขึ้นเป็นกลุ่มดูเป็นพุ่มเตี้ย ลำต้นและกิ่งก้านค่อนข้าง เป็นสี่เหลี่ยม ใบสดเมื่อขยี้ จะมีกลิ่นหอมเล็กน้อย แตกต่างจากกะเพราบ้านที่ว่า กะเพราบ้านมีใบใหญ่กว่ามาก ใบมีกลิ่นหอมแรงกว่า รายละเอียดต่าง ๆ ด้านพฤกษศาสตร์ในเรื่องลักษณะของ ดอกและผลก็แตกต่างกัน มาก เพราะกะเพราบ้านจัดอยู่ในสกุล Ocimum แต่ กะเพราศักดิ์สิทธิ์จัดอยู่ในสกุล Platoatoma ทั้งสองสกุลจัดอยู่ในวงศ์กะเพรา (Labiatae) เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามกะเพราศักดิ์สิทธิ์ที่เราค้นพบนี้จัดเป็นพืชใกล้สูญพันธุ์อย่าง ยิ่ง (Critically Endangered) ตามหลักเกณฑ์ของ IUCN Red List ซึ่งจะมีหลักเกณฑ์ชัดเจนในการที่จะบอกว่าพืชชนิดนั้น ๆ ที่เราศึกษาจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มใด เป็นหลักเกณฑ์ที่ทุกประเทศทั่วโลกปฏิบัติตาม โดยกะเพราศักดิ์สิทธิ์ที่พบขึ้นอยู่บริเวณดินตื้นบนลานหินทรายที่ หน้าแล้งแห้งมาก ประชากรพบเพียงกลุ่มเดียวจากการสำรวจหลาย ๆ ครั้ง
สำหรับประวัติของกะเพราในเมืองไทยจัดอยู่ในวงศ์ Labiatae ลักษณะเด่น ที่สังเกตได้ง่ายคือลำต้นส่วนใหญ่เป็นสี่เหลี่ยม ใบเรียง ตรงข้ามสลับตั้งฉาก ไม่มียาง กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดและมักสมมาตรด้านข้าง ประเทศไทยมีการสำรวจและเก็บตัวอย่างเพื่อการศึกษาตั้งแต่สมัยรัชการที่ 5 โดยมีหมอคาร์ นายแพทย์ชาวไอริช เป็นผู้สำรวจ
พืชวงศ์กะเพราในประเทศไทยเป็นพืชวงศ์ใหญ่ มีประมาณ 50 สกุล และประมาณ 250 ชนิด พบได้ทั่วประเทศตามลักษณะสภาพพื้นที่ที่แตกต่างกันไป ไม้สัก (Tectona grandis L.f.) ก็จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา แต่ละสกุลมีลักษณะเด่นแตกต่าง กันไป กะเพราที่เรารับประทานทั่วไปมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Ocimum tenuiflorum L. มี 2 พันธุ์ คือ ใบสีเขียว กับใบสีแดง รูปร่างและรสเหมือนกันแต่ต่างกันที่สี ส่วนสกุล Platostoma ที่กะเพราศักดิ์สิทธิ์ถูกจัดอยู่ ในประเทศไทยมี 22 ชนิด ทั้งนี้จาก การที่พืชวงศ์กะเพราเป็น พืชวงศ์ใหญ่ จึงนิยมรับประทานเฉพาะบางสกุลเท่านั้น สรรพคุณทางสมุนไพร ก็แตกต่างกันไป หลายสกุลมีสรรพคุณคล้ายกัน หลายสกุล ต่างกัน
กะเพราบ้านเราที่นิยมนำมาปรุงอาหารเพื่อรับ ประทานเพื่อความหอมนั้นอยู่ต่างสกุลกับกะเพราศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณคือ รากใช้ต้มน้ำกินเป็นยาขับเหงื่อในคนไข้มาลาเรีย ใบแห้งบดเป็นยานัตถุ์แก้คัดจมูก ใบสดกินเป็นยาขับเหงื่อ ขับระดู ขับเสมหะ หยอดหูแก้ปวด เป็นยาระบาย น้ำต้มใบใช้บำรุงธาตุสำหรับเด็กและแก้ตับอักเสบ ดอกกินกับน้ำผึ้งแก้หลอดลมอักเสบ เมล็ดกินแก้โรคทางเดินปัสสาวะ ส่วนสรรพคุณของกะเพราศักดิ์ สิทธิ์ขณะนี้ยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม ส่วนใหญ่แล้วพืชกลุ่มนี้มีสรรพคุณด้านสมุนไพรก็น่าจะมีสรรพ คุณทางสมุนไพรไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
พืชพรรณนานาชนิดในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น พันธุ์เก่าหรือพันธุ์ใหม่ ถือเป็นสมบัติที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อประเทศทั้งสิ้น หากสำรวจค้นพบแล้วไม่มีการอนุรักษ์หรือวิจัยอย่าง ต่อเนื่องก็เท่ากับว่าเราสูญเสีย ทรัพยากรดี ๆ ของประเทศไปโดยปริยาย ดังนั้นเราจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันดูแลรักษาไว้ให้ลูกหลานได้ใช้ประโยชน์ต่อ ไปในภายภาคหน้าก่อนที่กะเพราศักดิ์สิทธิ์ นี้จะสูญพันธุ์ไป.
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556
9 อันดับ นกสวยงามที่คนทั่วไปอยากเลี้ยง
อันดับ 1 อัฟริกันเกรย์
นก ปากขอขนาดกลางสีเทาที่ถูกถามถึงมากที่สุด แม้ว่าความสวยงามจะไม่โดดเด่น แต่มีจุดเด่นที่ด้านความเชื่องฉลาด สามารถฝึกให้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับคนได้ เช่น การเรียนเสียงพูด การโต้ตอบ
อันดับ 2 นกกระตั้ว
เป็น นกปากขอขนาดกลางอีกชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคทั่วไปรู้จักและคุ้นเคยดี และอยากจะเป็นเจ้าของด้วยจุดเด่นที่เป็นนกเชื่องนิสัยไม่ก้าวร้าว สามารถเข้าได้กับทุกคนไม่ใช่เฉพาะเจ้าของเท่านั้น นำมาฝึกให้พูดได้
อันดับ 3 มาคอว์
นก ปากขอขนาดใหญ่ซึ่งมีหลากหลายสีสันให้เลือก ชนิดที่พบบ่อยในท้องตลาด คือ บลูแอนด์โกลด์ กรีนวิงส์ และสการ์เร็ต ส่วนสีอื่นๆพบน้อยมาก การที่มาคอว์ได้รับความสนใจเป็นเพราะภาพลักษณ์ทีดูดี เป็นนกสีสันสวยงาม
อันดับ 4 ซันคอนัวร์
นก สวยงามอีกชนิดในตระกูลคอนัวร์ ที่รู้จักกันมาช้านาน มีจุดเด่นที่สีสันเมื่อโตเต็มไวสีเหลืองสดปนส้ม เป็นนกปากขอขนาดพกพาสะดวก สามารถฝึกให้เชื่องและคุ้นเคยกับคนได้ง่าย ราคาตัวในปัจจุบันไม่สูงมาก จึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น แต่มีข้อเสียอยู่ที่เสียงร้องค่อนข้างดัง
อันดับ 5 อีเล็กตัส
นก ปากขอขนาดใหญ่สีสันสดใส แยกเพศด้วยสี ตัวผู้สีเขียวเข้ม ตัวเมียสีแดงสด สามารถนำมาฝึกให้เชื่องและพูดได้ แม้ความเชื่องและการพูดจะไม่ค่อยเก่งนัก แต่ด้วยสีสันและราคาค่าตัวที่ไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดที่ใหญ่ จึงทำให้เป็นนกอีกชนิดหนึ่งที่คนทั่วไปอยากนำไปเลี้ยงไว้เพื่อความสวยงาม
อันดับ 6 นกแก้วโม่งอินเดีย-ริงค์เน็ก
ด้วย จุดเด่นที่รูปร่างและสีสัน รวมถึงความสามารถในการนำมาฝึกให้เชื่องและสอนให้พูดได้ อีกทั้งรูปร่างหน้าตายังเป็นนกแก้วสายพันธุ์พื้นบ้าน ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีในสังคมไทยความสนใจและต้องการนกสายพันธุ์ดัง กล่าวจึงมีอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 7 ค็อกกาเทล
นก สวยงามอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางด้วยจุดเด่นที่ขนาดไม่ ใหญ่มาก มีสีสันให้เลือกอย่างหลากหลาย เสียงร้องไม่ดัง ใช้พื้นที่เลี้ยงไม่มาก สามารถนำไปเลี้ยงในแหล่งชุมชนได้ นอกจากนั้นยังนำมาฝึกให้เชื่อง และทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับคนได้
อันดับ 8 เลิฟเบิร์ด
นก สวยงามอีกชนิดที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จากความนิยมที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นมีอยู่ที่สีสันมีหลากหลายชนิด ขนาดไม่ใหญ่เกินไป นำมาเลี้ยงรวมปล่อยบินอยู่ในกรงขนาดใหญ่จำนวนมาก จะเห็นอีกบรรยากาศหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่คนส่วนใหญ่ที่เลี้ยงเลิฟเบิร์ดเพื่อความสวยงามให้ความ สำคัญ
อันดับ 9 นกหงส์หยก
นก สวยงามอีกชนิดที่คนไทยรู้จักมายาวนาน และมีการเลี้ยงเพื่อความสวยงามกันอย่างแพร่หลายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันความนิยมก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นเป็นนกเลี้ยงง่าย กินอาหารได้หลากหลาย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ราคาไม่สูง และมีหลายสีสันให้เลือกเลี้ยง แต่ไม่ค่อยนิยมนำมาฝึกบิน
http://board.postjung.com/635043.html
นก ปากขอขนาดกลางสีเทาที่ถูกถามถึงมากที่สุด แม้ว่าความสวยงามจะไม่โดดเด่น แต่มีจุดเด่นที่ด้านความเชื่องฉลาด สามารถฝึกให้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับคนได้ เช่น การเรียนเสียงพูด การโต้ตอบ
อันดับ 2 นกกระตั้ว
เป็น นกปากขอขนาดกลางอีกชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคทั่วไปรู้จักและคุ้นเคยดี และอยากจะเป็นเจ้าของด้วยจุดเด่นที่เป็นนกเชื่องนิสัยไม่ก้าวร้าว สามารถเข้าได้กับทุกคนไม่ใช่เฉพาะเจ้าของเท่านั้น นำมาฝึกให้พูดได้
อันดับ 3 มาคอว์
นก ปากขอขนาดใหญ่ซึ่งมีหลากหลายสีสันให้เลือก ชนิดที่พบบ่อยในท้องตลาด คือ บลูแอนด์โกลด์ กรีนวิงส์ และสการ์เร็ต ส่วนสีอื่นๆพบน้อยมาก การที่มาคอว์ได้รับความสนใจเป็นเพราะภาพลักษณ์ทีดูดี เป็นนกสีสันสวยงาม
อันดับ 4 ซันคอนัวร์
นก สวยงามอีกชนิดในตระกูลคอนัวร์ ที่รู้จักกันมาช้านาน มีจุดเด่นที่สีสันเมื่อโตเต็มไวสีเหลืองสดปนส้ม เป็นนกปากขอขนาดพกพาสะดวก สามารถฝึกให้เชื่องและคุ้นเคยกับคนได้ง่าย ราคาตัวในปัจจุบันไม่สูงมาก จึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น แต่มีข้อเสียอยู่ที่เสียงร้องค่อนข้างดัง
อันดับ 5 อีเล็กตัส
นก ปากขอขนาดใหญ่สีสันสดใส แยกเพศด้วยสี ตัวผู้สีเขียวเข้ม ตัวเมียสีแดงสด สามารถนำมาฝึกให้เชื่องและพูดได้ แม้ความเชื่องและการพูดจะไม่ค่อยเก่งนัก แต่ด้วยสีสันและราคาค่าตัวที่ไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดที่ใหญ่ จึงทำให้เป็นนกอีกชนิดหนึ่งที่คนทั่วไปอยากนำไปเลี้ยงไว้เพื่อความสวยงาม
อันดับ 6 นกแก้วโม่งอินเดีย-ริงค์เน็ก
ด้วย จุดเด่นที่รูปร่างและสีสัน รวมถึงความสามารถในการนำมาฝึกให้เชื่องและสอนให้พูดได้ อีกทั้งรูปร่างหน้าตายังเป็นนกแก้วสายพันธุ์พื้นบ้าน ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดีในสังคมไทยความสนใจและต้องการนกสายพันธุ์ดัง กล่าวจึงมีอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 7 ค็อกกาเทล
นก สวยงามอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางด้วยจุดเด่นที่ขนาดไม่ ใหญ่มาก มีสีสันให้เลือกอย่างหลากหลาย เสียงร้องไม่ดัง ใช้พื้นที่เลี้ยงไม่มาก สามารถนำไปเลี้ยงในแหล่งชุมชนได้ นอกจากนั้นยังนำมาฝึกให้เชื่อง และทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับคนได้
อันดับ 8 เลิฟเบิร์ด
นก สวยงามอีกชนิดที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จากความนิยมที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นมีอยู่ที่สีสันมีหลากหลายชนิด ขนาดไม่ใหญ่เกินไป นำมาเลี้ยงรวมปล่อยบินอยู่ในกรงขนาดใหญ่จำนวนมาก จะเห็นอีกบรรยากาศหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่คนส่วนใหญ่ที่เลี้ยงเลิฟเบิร์ดเพื่อความสวยงามให้ความ สำคัญ
อันดับ 9 นกหงส์หยก
นก สวยงามอีกชนิดที่คนไทยรู้จักมายาวนาน และมีการเลี้ยงเพื่อความสวยงามกันอย่างแพร่หลายในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันความนิยมก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นเป็นนกเลี้ยงง่าย กินอาหารได้หลากหลาย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ราคาไม่สูง และมีหลายสีสันให้เลือกเลี้ยง แต่ไม่ค่อยนิยมนำมาฝึกบิน
http://board.postjung.com/635043.html
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556
เพลงเพราะฟังสบายๆ
มีหนึ่งเรื่องราว ตำนานเล่าขาน
เวลาช้านาน ได้โปรดฟัง
กระต่ายตัวน้อย เฝ้ามองดวงจันทร์
ที่เดิมทุกวัน ไม่ห่างไกล
เวลาช้านาน ได้โปรดฟัง
กระต่ายตัวน้อย เฝ้ามองดวงจันทร์
ที่เดิมทุกวัน ไม่ห่างไกล
สวยงาม โอ้จันทรา ดวงดารา ส่องลงมา
ช่างเฉิดฉาย ฝันไป จะวันนึง จะวันใด
จะไขว่และคว้ามา
ช่างเฉิดฉาย ฝันไป จะวันนึง จะวันใด
จะไขว่และคว้ามา
มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป
ไม่ว่าสูงเท่าใด (ลาลาลา ลาลาลาลา)
มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป
จะยากเย็นเท่าไร (ลาลาลา ลาลาลาลา)
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง ตกลงมากี่หน
สิ่งเดียวคือต้องอดทน
ลำบากลำบน เพื่อใฝ่และฝัน
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง และต้องเจ็บกี่ครั้ง
ไม่ว่าสูงเท่าใด (ลาลาลา ลาลาลาลา)
มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป
จะยากเย็นเท่าไร (ลาลาลา ลาลาลาลา)
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง ตกลงมากี่หน
สิ่งเดียวคือต้องอดทน
ลำบากลำบน เพื่อใฝ่และฝัน
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง และต้องเจ็บกี่ครั้ง
สิ่งเดียวที่รู้ คือในตอนนี้ จะกี่วิธี จะขึ้นไป
กระต่ายตัวน้อย ไม่คอยความฝัน
เมื่อสิ่งที่หวัง ช่างห่างไกล
กระต่ายตัวน้อย ไม่คอยความฝัน
เมื่อสิ่งที่หวัง ช่างห่างไกล
สวยงาม โอ้จันทรา ดวงดารา ส่องลงมา
ช่างเฉิดฉาย ฝันไป จะวันนึง จะวันใด
จะไขว่และคว้ามา
ช่างเฉิดฉาย ฝันไป จะวันนึง จะวันใด
จะไขว่และคว้ามา
มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป
ไม่ว่าสูงเท่าใด (ลาลาลา ล้าลาลาลา)
มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป
จะยากเย็นเท่าไร (ลาลาลา ล้าลาลาลา)
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง ตกลงมากี่หน
สิ่งเดียวที่ต้องอดทน
ลำบากลำบน เพื่อใฝ่และฝัน
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง และต้องเจ็บกี่ครั้ง
ไม่ว่าสูงเท่าใด (ลาลาลา ล้าลาลาลา)
มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป
จะยากเย็นเท่าไร (ลาลาลา ล้าลาลาลา)
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง ตกลงมากี่หน
สิ่งเดียวที่ต้องอดทน
ลำบากลำบน เพื่อใฝ่และฝัน
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง และต้องเจ็บกี่ครั้ง
โอ้อันว่าของสูงแม้หมายปองต้องใจ
จะทำยังไรจะคว้ามา
โอ้อันว่าของสูงแม้หมายปองต้องใจ
จะทำยังไรจะคว้ามา
โอ้อันว่าของสูงแม้หมายปองต้องใจ
จะทำยังไรจะคว้ามา
จะทำยังไรจะคว้ามา
โอ้อันว่าของสูงแม้หมายปองต้องใจ
จะทำยังไรจะคว้ามา
โอ้อันว่าของสูงแม้หมายปองต้องใจ
จะทำยังไรจะคว้ามา
มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป
ไม่ว่าสูงเท่าใด (ลาลาลา ล้าลาลาลา)
มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป
จะยากเย็นเท่าไร (ลาลาลา ล้าลาลาลา)
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง ตกลงมากี่หน
สิ่งเดียวคือต้องอดทน
ลำบากลำบน เพื่อใฝ่และฝัน
และในตอนสุดท้าย ถ้าคลาดเคลื่อนสิ่งนั้น
แต่ฉันก็จะยอม
ไม่ว่าสูงเท่าใด (ลาลาลา ล้าลาลาลา)
มันก็เลยต้องปีน ปีนให้สูงขึ้นไป
จะยากเย็นเท่าไร (ลาลาลา ล้าลาลาลา)
จะต้องเจ็บกี่ครั้ง ตกลงมากี่หน
สิ่งเดียวคือต้องอดทน
ลำบากลำบน เพื่อใฝ่และฝัน
และในตอนสุดท้าย ถ้าคลาดเคลื่อนสิ่งนั้น
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ประวัติส่วนตัว
นาย สุขใจ ปัสโส โปรแกรมวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา 5414122134
e-mail:: sookjaiputso57@gmail.com
phone::0833698502
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)