สู่งานวิจัย...สมุนไพรให้ประโยชน์
ประเทศไทยเรายังมี
สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายที่น่าค้นหาอยู่มากมาย ถึงแม้จะเป็น สิ่งที่เหมือน
ๆ กัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างให้เห็น เช่น ชื่อเหมือนกันแต่คนละสายพันธุ์
ล่าสุดชุดคณะสำรวจพันธุ์ไม้ไทยได้ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการสำรวจค้นพบ
กะเพราสายพันธุ์ใหม่ของโลก ที่ยังไม่เคยพบที่ใดมาก่อน
ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี
แสดงให้เห็นว่าบนผืนแผ่นดินไทยยังคงมีความอุดมสมบูรณ์
สมราน
สุดดี ผู้เชี่ยวชาญไม้วงศ์กะเพราของไทย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์
ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เล่าย้อนถึงความยากลำบากในการสำรวจหา พืชชนิดใหม่นี้ว่า
เริ่มทำการสำรวจและเก็บตัวอย่างครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550
ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดหนองคาย
โดยจากการสำรวจทางพฤกษศาสตร์ของเจ้าหน้าที่หอพรรณไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
ซึ่งต้องมีการสำรวจและเก็บตัวอย่างพรรณไม้ทั่วประเทศเพื่อนำมาศึกษาวิจัยจัด
ทำหนังสือพรรณพฤกษชาติประเทศไทย (Flora of Thailand)
เพื่อให้ทราบว่าประเทศไทยมีทรัพยากรด้านพืชจำนวนเท่าใด
ทั้งนี้ก็เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์ การอนุรักษ์
ทรัพยากรพันธุ์พืชของประเทศ จึงได้ พบกะเพราชนิดใหม่ของโลกนี้ขึ้นอยู่
บนดินตื้น ๆ บนภูเขาหินทรายตามป่าเต็งรัง ลำต้นเป็นเหลี่ยม สูงประมาณ 50-60
ซม. กิ่งมีขนสั้น นุ่ม ใบเดี่ยวเรียงตรงสลับตั้งฉาก ยาว 0.4-1 ซม.
แผ่นใบมีขนสากด้านบน ก้านใบยาวประมาณ 0.5-2 ซม.
เหตุที่เป็นการพบครั้งแรกของโลก เพราะพืชชนิดนี้ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน
ซึ่งตนคุ้นเคยกับพืชกลุ่มนี้ ดี
เพราะศึกษาพืชกลุ่มนี้มาก่อนสมัยทำการศึกษาระดับปริญญาเอกอยู่ที่สวนพฤกษ
ศาสตร์คิว กรุงลอนดอน จึงได้เห็นตัวอย่างพืชกลุ่มนี้มาทั่วโลก
ตอนเดินสำรวจและเก็บตัวอย่างค่อนข้างแน่ใจเลยว่าเป็นพืชชนิดใหม่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่จะนำไปตีพิมพ์เป็นพืชชนิดใหม่จะต้องสำรวจตรวจสอบ
ให้ละเอียดเสียก่อน เพราะอาจจะมีคนค้นพบในเวลาใกล้เคียงกันและตีพิมพ์ไปแล้ว
สรุปแล้วเราใช้เวลาในการสำรวจตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ
พร้อมทั้งเดินทางไป
ดูตัวอย่างเพิ่มเติมในพิพิธภัณฑ์พืชต่างประเทศใช้เวลาประมาณ 2 ปี กว่า
รวมแล้วก็ 3 ปีได้ จึงมั่นใจเต็มที่ว่า
กะเพราที่ค้นพบนี้เป็นพืชชนิดใหม่ของโลกและยังไม่เคยมีใครตีพิมพ์มาก่อน
สำหรับ พืชชนิดใหม่ของโลกนี้ได้มีการเตรียมเขียนตีพิมพ์ในปี 2553 นี้
โดยใช้ชื่อพรรณไม้ว่า Platostoma tridechii Suddee ซึ่งจะตีพิมพ์ในวารสาร
Thai Forest Bulletin (Botany) เล่มที่ 38
ซึ่งเป็นวารสารนานาชาติที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
จากการศึกษาพบว่าลักษณะของกะเพราศักดิ์สิทธิ์เป็นไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี
ประมาณ 2-3 ปี ชอบขึ้นในป่าเต็งรังบนสันภูของเขาหิน ทราย
พื้นที่ค่อนข้างเปิดโล่ง ความสูงจากระดับน้ำทะเล ไม่เกิน 300 เมตร
ออกดอกและติดผลเดือนตุลาคม-ธันวาคม
โดยในปีแรกที่ขึ้นมาจะพัฒนามีเหง้าอยู่ใต้ดิน เมื่อออกดอกผลเสร็จ
ลำต้นก็เหี่ยวแห้งไปในหน้าแล้ง เมื่อเข้าหน้าฝนใหม่ต้นก็จะงอก
มาใหม่จากเหง้าเดิม การขึ้นมักขึ้นเป็นกลุ่มดูเป็นพุ่มเตี้ย
ลำต้นและกิ่งก้านค่อนข้าง เป็นสี่เหลี่ยม ใบสดเมื่อขยี้
จะมีกลิ่นหอมเล็กน้อย แตกต่างจากกะเพราบ้านที่ว่า
กะเพราบ้านมีใบใหญ่กว่ามาก ใบมีกลิ่นหอมแรงกว่า รายละเอียดต่าง ๆ
ด้านพฤกษศาสตร์ในเรื่องลักษณะของ ดอกและผลก็แตกต่างกัน มาก
เพราะกะเพราบ้านจัดอยู่ในสกุล Ocimum แต่ กะเพราศักดิ์สิทธิ์จัดอยู่ในสกุล
Platoatoma ทั้งสองสกุลจัดอยู่ในวงศ์กะเพรา (Labiatae) เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตามกะเพราศักดิ์สิทธิ์ที่เราค้นพบนี้จัดเป็นพืชใกล้สูญพันธุ์อย่าง
ยิ่ง (Critically Endangered) ตามหลักเกณฑ์ของ IUCN Red List
ซึ่งจะมีหลักเกณฑ์ชัดเจนในการที่จะบอกว่าพืชชนิดนั้น ๆ
ที่เราศึกษาจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มใด
เป็นหลักเกณฑ์ที่ทุกประเทศทั่วโลกปฏิบัติตาม
โดยกะเพราศักดิ์สิทธิ์ที่พบขึ้นอยู่บริเวณดินตื้นบนลานหินทรายที่
หน้าแล้งแห้งมาก ประชากรพบเพียงกลุ่มเดียวจากการสำรวจหลาย ๆ ครั้ง
สำหรับประวัติของกะเพราในเมืองไทยจัดอยู่ในวงศ์ Labiatae ลักษณะเด่น
ที่สังเกตได้ง่ายคือลำต้นส่วนใหญ่เป็นสี่เหลี่ยม ใบเรียง
ตรงข้ามสลับตั้งฉาก ไม่มียาง กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดและมักสมมาตรด้านข้าง
ประเทศไทยมีการสำรวจและเก็บตัวอย่างเพื่อการศึกษาตั้งแต่สมัยรัชการที่ 5
โดยมีหมอคาร์ นายแพทย์ชาวไอริช เป็นผู้สำรวจ
พืชวงศ์กะเพราในประเทศไทยเป็นพืชวงศ์ใหญ่ มีประมาณ 50 สกุล และประมาณ 250
ชนิด พบได้ทั่วประเทศตามลักษณะสภาพพื้นที่ที่แตกต่างกันไป ไม้สัก (Tectona
grandis L.f.) ก็จัดอยู่ในวงศ์กะเพรา แต่ละสกุลมีลักษณะเด่นแตกต่าง กันไป
กะเพราที่เรารับประทานทั่วไปมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Ocimum tenuiflorum L. มี
2 พันธุ์ คือ ใบสีเขียว กับใบสีแดง
รูปร่างและรสเหมือนกันแต่ต่างกันที่สี ส่วนสกุล Platostoma
ที่กะเพราศักดิ์สิทธิ์ถูกจัดอยู่ ในประเทศไทยมี 22 ชนิด ทั้งนี้จาก
การที่พืชวงศ์กะเพราเป็น พืชวงศ์ใหญ่
จึงนิยมรับประทานเฉพาะบางสกุลเท่านั้น สรรพคุณทางสมุนไพร
ก็แตกต่างกันไป หลายสกุลมีสรรพคุณคล้ายกัน หลายสกุล ต่างกัน
กะเพราบ้านเราที่นิยมนำมาปรุงอาหารเพื่อรับ
ประทานเพื่อความหอมนั้นอยู่ต่างสกุลกับกะเพราศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณคือ
รากใช้ต้มน้ำกินเป็นยาขับเหงื่อในคนไข้มาลาเรีย
ใบแห้งบดเป็นยานัตถุ์แก้คัดจมูก ใบสดกินเป็นยาขับเหงื่อ ขับระดู ขับเสมหะ
หยอดหูแก้ปวด เป็นยาระบาย น้ำต้มใบใช้บำรุงธาตุสำหรับเด็กและแก้ตับอักเสบ
ดอกกินกับน้ำผึ้งแก้หลอดลมอักเสบ เมล็ดกินแก้โรคทางเดินปัสสาวะ
ส่วนสรรพคุณของกะเพราศักดิ์ สิทธิ์ขณะนี้ยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
ส่วนใหญ่แล้วพืชกลุ่มนี้มีสรรพคุณด้านสมุนไพรก็น่าจะมีสรรพ
คุณทางสมุนไพรไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
พืชพรรณนานาชนิดในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น พันธุ์เก่าหรือพันธุ์ใหม่
ถือเป็นสมบัติที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อประเทศทั้งสิ้น
หากสำรวจค้นพบแล้วไม่มีการอนุรักษ์หรือวิจัยอย่าง
ต่อเนื่องก็เท่ากับว่าเราสูญเสีย ทรัพยากรดี ๆ ของประเทศไปโดยปริยาย
ดังนั้นเราจึงต้องร่วมมือร่วมใจกันดูแลรักษาไว้ให้ลูกหลานได้ใช้ประโยชน์ต่อ
ไปในภายภาคหน้าก่อนที่กะเพราศักดิ์สิทธิ์ นี้จะสูญพันธุ์ไป.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น